
วันพุธแรกของเดือนมิถุนายนเป็นวันวิ่งสากล (Global Running Day) วันสำคัญที่ฉลองให้กับการวิ่ง กระตุ้นให้คนขยับตัวเคลื่อนไหวร่างกาย ให้เราระลึกถึงบทบาทความสำคัญของการวิ่ง ให้เราร่วมใจกันรักษาสุขภาพด้วยการวิ่งออกกำลังกาย วิ่งลดความเครียด วิ่งลดความกังวล วิ่งให้เราเอาชนะอุปสรรค ให้เราจัดการกับปัญหาสุขภาพโรคภัยทั้งหลายได้ดีขึ้น
ช่วงนี้งานวิ่งต่างๆ ยังคงหยุดหรือเลื่อนออกไป แต่ก็ยังมีงานวิ่ง Virtual Run ที่ช่วยกระตุ้นให้เราเกิดแรงบันดาลใจออกไปวิ่ง เช่น ใน Strava เราเห็นมี lululemon Global Running Day และ New Balance Beat Your 5K นอกจากนั้นยังมี Virtual Run: asicsgrd2020 ที่จัดโดย Asics เราเลือกได้ว่าจะวิ่ง 3k 5k หรือ 10k
ใครที่พลาด สมัครร่วมงานเหล่านี้ไม่ทันก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะเราถือว่าทุกวันสามารถเป็นวันวิ่งส่วนตัวแทนได้ วันวิ่งสากลไม่ควรทำให้เราอยากออกไปวิ่งแค่วันนั้นวันเดียว แต่ให้เราระลึกอยู่เสมอว่าเราต้องออกไปวิ่ง ให้เรารับรู้และเข้าใจบทบาทความสำคัญของการวิ่งเช่นเดียวกับผู้คนอีกมากมายในหลายประเทศที่เข้าใจตรงกันและเป็นหนึ่งเดียวรวมใจกันแสดงออก
ในบทคววามนี้เราอยากจะแสดงออกทางความคิด ควมคิดเห็นที่เรามีต่อการวิ่ง จากประสบการณ์ที่เราได้รับจากการวิ่ง เราเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองออกไปวิ่ง และการวิ่งก็เปลี่ยนแปลงตัวเราให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
การวิ่งช่วยจัดระเบียบชีวิต
การวิ่งเป็นกิจกรรมออกกำลังกายที่เป็นตัวสร้างเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้เราตัดสินใจง่ายขึ้น ทำให้เกิดนิสัย เช่น การกิน การนอนที่ดีขึ้น
ช่วงที่เราออกไปวิ่ง มันจะบังคับให้เราพยายามต้องกินอาการที่มีประโยชน์ ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดังนั้นเมื่อถึงเวลากิน เราจะตัดสินใจได้ง่ายมากว่าเราต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เราจะกินขนมของหวานน้อยลง
หลังจากวิ่ง เราต้องการพักผ่อนเพื่อเปิดโอกาสให้ร่างกายได้ซ่อมแซมกล้ามเนื้อ สร้างกล้ามเนื้อใหม่ที่แข็งแรงมากขึ้นมาทดแทนกล้ามเนื้อส่วนที่อ่อนแอหรือไม่เหมาะสมกับกิจกรรมที่ถูกทำลายไประหว่างการวิ่ง
ถ้าให้เลือกระหว่างการนั่งนอนดูหนังทั้งคืนในวันหยุด การวิ่งมันจะทำให้เราเลือกง่ายขึ้น เราเลือกที่จะนอนพักผ่อนเพื่อจะได้ออกไปวิ่งในวันรุ่งขึ้น
การวิ่งเปิดโอกาสให้เราได้ฝึกฝน
สมองเราเรียนรู้จากการทำผิดพลาด ดังนั้นยิ่งเราออกไปวิ่งบ่อย ยิ่งแสดงออกมากเท่าไหร่ ยิ่งลงมือทำมากก็ยิ่งเปิดโอกาสให้เราได้ทำผิดพลาดบ่อย และสมองเรียนรู้มากขึ้น
นั่นคือการวิ่งมันจะช่วยให้เราเรียนรู้ รู้จักรับมือกับคววมผิดพลาด เมื่อไหร่ที่เราตั้งใจตั้งเป้าหมายไว้ เราจะมีโอกาสทำสำเร็จบ้าง แต่หลายครั้งที่เราล้มเหลว และมันก็ทำให้เรามีโอกาสได้เรียนรู้รับมือกับความผิดหวัง ช่วยให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ช่วยให้รักและสงสารตัวเองมากขึ้น ยอมรับในความบกพร่องไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง
ความบกพร่องที่เป็นเหมือนกับช่องว่างระหว่างเป้าหมายกับจุดที่เราเป็นอยู่ บางครั้งช่องว่างนี้ก็ทำให้เกิดความเครียด แต่เป็นความเครียดที่ดีที่ทำให้เราระลึกอยู่เสมอว่ามันยังมีพื้นที่ มีศักยภาพให้เราได้พัฒนาตัวเองมากขึ้นอีกเรื่อยๆ
อาการเจ็บที่บ่งบอกว่าเราได้ทำเต็มที่
หลายครั้งที่วิ่งเสร็จ จะมีอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ เมื่อก่อนเราจะมองว่าอาการบาดเจ็บเป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกแย่ ทำให้เราไม่อยากออกไปวิ่งได้ต่อเนื่อง และทำให้หยุดวิ่งไปหลายวัน
แต่ตอนนี้เรามองความเจ็บปวดในแบบใหม่ มองว่าเป็นอาการที่บ่งบอกว่าเราได้ทำเต็มที่ กล้ามเนื้อที่เหนื่อยล้าบ่งบอกว่าเราออกกำลังกายอย่างเต็มที่ มันทำให้เรารู้ว่าเราได้ฝึกฝนใช้งานกล้ามเนื้ออย่างเต็มที่
มันหมายความว่าเราสามารถกินได้อย่างสบายใจ เพราะการเผาผลาญพลังงานของร่างกายเพิ่มมากขึ้น หมายความว่าสัดส่วนร่างกายเราจะดูดีมากขึ้น เราควรจะดีใจเมื่อรู้สึกว่ากล้ามเนื้อมีอาการล้า เพราะร่างกายเราเกิดการปรับตัวเปลี่ยนแปลง กล้ามเนื้อส่วนที่อ่อนแอถูกทำลายไป แล้วสร้างกล้ามเนื้อใหม่ที่แข็งแรงมากกว่าเดิม กล้ามเนื้อที่เหมาะสมกับกิจกรรมที่เราทำมากขึ้น
แต่อาการบาดเจ็บที่ดีนั้นต่างจากอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่เราไม่ต้องการ อาการบาดเจ็บ ความเหนื่อยล้าที่เราต้องการนั้น ควรจะเกิดขึ้นหลังจากวิ่ง และหายไปในเวลาไม่นาน อาจจะ 1 หรือ 2 วัน แต่หากเกิดอาการบาดเจ็บเรื้อรัง เราก็ต้องรู้จักพักและรักษาอาการให้หายก่อน
นอกจากนั้นเราต้องรู้จักป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บที่ไม่จำเป็น เช่น ต้องวอร์มก่อนออกกำลังกายเสมอ ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ วิ่งช้าๆ 10-15 นาที
รู้จักฟังเสียงของร่างกายตัวเอง
บางครั้งที่เราออกไปวิ่ง เราลืมที่จะฟังเสียงของร่างกายตัวเอง เสียงที่บอกว่าต้องการพัก เมื่อไหร่ที่เราได้วางแผน มีตารางซ้อมวิ่ง วิ่งเป็นนิสัย ใจเราพร้อมที่จะออกไปวิ่งอยู่เสมอ
การไม่ฟังเสียงของร่างกายที่บอกให้เราหยุดพักบ้าง อาจทำให้เกิดผลเสียตามมา เช่น เกิดอาการบาดเจ็บที่ไม่จำเป็น ทำให้เหนื่อยมากหรือเหนื่อยเร็วกว่าปกติ ทำให้ความอดทนต่ำ ทำให้ผลลัพธ์ของการออกกำลังกายลดลง
ร่างกายเราต้องการพัก เพราะร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น ฮอร์โมนส์เปลี่ยน อากาศเปลี่ยน รูปแบบการออกกำลังกายที่เปลี่ยนไป สุขภาพจิตของเราเปลี่ยนไป ความเครียดที่เกิดขึ้น การนอนหลับ ต่างส่งผลต่อการตอบสนองของร่างกายในขณะที่ออกกำลังกาย
ถ้าเราไม่ฟังเสียงร่างกายที่บางครั้งบอกให้เราพัก ก็อาจทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น เสียงของร่างกายรับรู้ได้จากหลายอย่างเช่น เมื่อเรารู้สึกว่าเจ็บ กล้ามเนื้อตึงหรือล้าในขณะออกกำลังกาย เรารู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ จนทำให้เราต้องวิ่งช้าลง
ทางที่ดีคือต้องหยุดพัก เปิดโอกาสให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง ให้ร่างกายปรับเปลี่ยนเพื่อทำให้พร้อมสำหรับการออกกำลังกายครั้งต่อไป
การวิ่งเปลี่ยนรูปแบบความคิด
บางคนอาจคิดว่าการออกไปวิ่งเป็นเหมือนการถูกบังคับ เพราะคิดว่ามันคือการทำให้สุขภาพดี ทำให้ลดน้ำหนัก แต่การวิ่งนั้นคืออิสระ เราออกไปวิ่งเพราะเหตุผลอื่น น้ำหนักที่ลดลง สุขภาพที่ดีขึ้นเป็นเพียงผลพลอยได้ในทางที่ดีเท่านั้น
สำหรับหลายคนที่มักจะมีเหตุผลส่วนตัวดีๆ ที่ทำให้ออกไปวิ่งได้ไม่รู้จักหยุด เช่น การวิ่งช่วยให้วิ่งหนีจากความกังวล ช่วยสร้างความมั่นใจ เพิ่มกำลังใจให้กลับไปต่อสู้กับอุปสรรคที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
บางคนออกไปวิ่งเพราะมันคือสิ่งที่เค้าทำได้ดี สามารถวิ่งได้นานๆ เหนื่อยแต่ก็ไม่หยุด ล้าแต่ก็ยังควบคุมได้ ความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟิน (Endorphin) เพื่อกดความรู้สึกเจ็บทางกายเอาไว้ เอนโดฟินทำให้เรารู้สึกดี ทำให้บรรเทาอาการบาดเจ็บทางใจได้ด้วย
เราสามารถวิ่งเพื่อให้ร่างกายหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ ได้อีก เช่น ออกซิโทซิน (Oxytocin) ที่หลั่งออกมาตอนที่เราวิ่งกับเพื่อนๆ เมื่อเราเห็นคนอื่นๆ วิ่ง เมื่อเรายิ้มให้กัน ทักทายให้กำลังใจกัน
เซโรโทนิน (Serotonin) ที่ร่างกายหลั่งออกมาเมื่อเรารู้สึกมั่นใจในความสามารถของตัวเอง เมื่อเราวิ่งได้ไว วิ่งได้ไกลกว่าคนอื่นๆ และโดปามีน (Dopamine) ที่ร่างกายหลั่งออกมาเมื่อเราทำได้ตามเป้าหมาย
สารสื่อประสาทเหล่านี้ที่ร่างกายหลั่งออกมาล้วนช่วยให้เรารู้สึกดี ไม่ว่าสถาพร่างกายเราในตอนนั้นจะเหนื่อยล้าแค่ไหน ดูเหมือนว่าร่างกายก็ยังหาหนทางช่วยเหลือให้เราวิ่งต่อไปได้เรื่อยๆ พยายามหารางวัลมาล่อให้เราวิ่งต่อไป
Keep Running Fun!