เป้าหมายในชีวิต

Finisher เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนที่ทำสำเร็จ

พอถึงปีใหม่ก็ต้องนึกถึงการตั้ง New Year Resolutions ตั้งปณิธานครั้งใหม่ เป้าหมายอะไรที่อยากทำให้สำเร็จภายในปีใหม่นี้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเป็นการพัฒนาตัวเองในทางที่ดีขึ้น แต่จากข้อมูลสถิติพบว่าน้อยคนที่จะทำได้สำเร็จ มีคนมากมายที่ล้มเลิกความตั้งใจ เลิกทำตามเป้าหมายที่วางไว้

บางคนอาจกลัวไม่กล้าเริ่มต้นลงมือทำ ลังเลว่าออกไปวิ่งแล้วจะทำให้สุขภาพดี ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ สิ่งเดียวที่จะทำให้เรารู้คือเริ่มต้นลงมือทำ เริ่มออกไปวิ่ง ความกลัวอาจฉุดรั้งเราไว้ และการเริ่มต้นก็เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะเอาชนะมัน

จุดเริ่มต้นนั้นสำคัญ ก้าวแรกคือสิ่งสำคัญ แต่มันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือเส้นชัย

บางคนอาจเริ่มต้นทำอะไรหลายๆ อย่างได้ง่ายๆ แต่ปัญหาคือทำไม่เสร็จสักอย่าง ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้งานเสร็จ

บางครั้งเราพบว่า เราอ่านหนังสือเพียงแค่ 10% ของทั้งหมดที่ซื้อมาเก็บไว้ สวนหลังบ้านที่ตั้งใจจะปลูกต้นไม้ก็กลับกลายเป็นร้าง ต้นไม้เหี่ยวตายหมด ความกระตือรือร้นมันอยู่ได้แค่ไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน หลังจากนั้นก็หายไป แต่เราไม่ได้เป็นแบบนี้ตามลำพัง มีคนอีกมากมายที่มีพฤติกรรมคล้ายๆ กัน

92% ของคนที่ตั้งเป้าหมายว่าปีใหม่อยากจะทำ อยากเปลี่ยนแปลงบางอย่างนั้นล้มเหลว ล้มเลิก คนเหล่านั้นเริ่มต้นลงมือทำและล้มเลิกไป จากคน 100 คน มีเพียงแค่ 8 คนเท่านั้นที่ทำตามเป้าหมายจนสำเร็จ

และปัญหาก็ไม่ใช่เพราะเราไม่ได้อดทน ไม่จริงจัง ไม่ได้พยายามมากพอ แต่มันเป็นเพราะว่าเราต่างก็มีความอยากสมบูรณ์แบบอยู่ภายในตัว

เริ่มต้นอ่านหนังสือตั้งใจไว้ว่าจะอ่านให้ได้วันละบท แต่ถ้ามีวันที่งานยุ่งมากจนลืมอ่านหนังสือ เพียงแค่ขาดไปหนึ่งวันก็จะทำให้รู้สึกไม่อยากอ่านต่อ ทำให้ล้มเลิกเป้าหมาย ทำให้วางหนังสือเล่มนั้น

ตั้งใจออกไปวิ่งทุกเช้าวันเสาร์อาทิตย์ แต่ถ้าได้หยุดไปหนึ่งวัน หลังจากที่ความต่อเนื่องหายไป ก็จะทำให้ไม่อยากทำต่อ หยุดบ่อยขึ้นและสุดท้ายเลิกไป

ไม่ว่าจะตั้งใจลดน้ำหนัก ตั้งใจว่าจะเขียนหนังสือ อยากเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ได้เลื่อนตำแหน่ง ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน ยิ่งเราพยายามทำให้มันสมบูรณ์แบบมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะล้มเหลวและเลิกไปมากขึ้น

ในหนังสือ Finish: Give Yourself the Gift of Done ผู้เขียนได้บอกไว้ว่าการขาดความพยายามไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้คนล้มเลิก ความอดทนไม่ใช่คำตอบ ไม่ว่าใครก็สามารถทำตามเป้าหมายให้สำเร็จได้

ถ้าอยากทำสำเร็จ เราจะต้องรู้จักละทิ้งความอยากสมบูณ์แบบ ตั้งเป้าหมายให้ต่ำลง ลดเป้าหมายลงครึ่งหนึ่ง และต้องรู้จักทำให้เป้าหมายนั้นเป็นเรื่องสนุก

ยิ่งเราไม่สนใจทำให้มันสมบูรณ์แบบ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะทำได้สำเร็จมากขึ้น เลือกสนใจเฉพาะสิ่งที่สำคัญๆ และทิ้งที่เหลือไป

วันที่มันเริ่มไม่สมบูรณ์แบบ

เราให้ความสำคัญกับการเริ่มต้นมากเกินไป บางคนยึดคำขวัญ “เริ่มต้นดีถือว่าเสร็จไปครึ่งทาง” หรือ “บางครั้งเราอาจต้องกระโดดหน้าผาก่อน แล้วค่อยงอกปีกบินได้เหมือนนก”

วันแรกสำคัญและยังมีอีกวันที่ต้องใส่ใจ นั่นคือวันที่สิ่งที่ตั้งเป้าไว้ มันเริ่มไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่คิดไว้ มันมีแววว่าเราจะทำไม่ได้

เมื่อไหร่ที่เกิดเหตุการณ์ทำให้ไม่เป็นไปตามแผน เช่นในบางวันที่ยุ่งมากเกินไป หรือไม่สามารถปฎิเสธเลยต้องออกไปเที่ยวข้างนอกกับเพื่อน มันมักจะทำให้เรากลับมาทำตามแผนเดิมไม่ได้ และก็ไม่ใช่เพราะเราทำต่อไม่ได้ แต่เป็นเพราะผลลัพธ์มันไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่คิดไว้

เหตุผลที่คนละทิ้งความตั้งใจจะคล้ายๆ กัน คือไม่สามารถทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ ชีวิตยุ่งจนทำให้ทำตามแผนที่วางไว้ไม่ได้ มันมีความยุ่งยากเข้ามามากเกินไปที่จะแก้ไขได้

มันง่ายที่จะหยุดทำ ถ้าตั้งใจไว้ว่าจะวิ่งให้ได้เวลาตามกำหนด แต่พอวิ่งไปครึ่งทางแล้วพบว่าทำเวลาแย่กว่าที่กำหนดไว้ ทำให้หยุดวิ่ง เพียงเพราะคิดว่าผลลัพธ์มันจะไม่สมบูรณ์แบบ มันไม่ตรงตามที่ตั้งใจไว้

ความพยายามที่จะทำให้สมบูรณ์แบบ ขัดขวางไม่ให้เราทำตามเป้าหมาย เราล้มเลิกเพราะผลลัพธ์มันไม่สมบูรณ์แบบ

เราไม่ต้องการเกรด B หรือ C มันต้องได้ A เท่านั้น นั่นทำให้หลายคนกลัวที่จะเริ่มต้น เพราะคิดว่าได้ 0 ดีกว่า 50 เพราะเชื่อว่ามันต้องสมบูรณ์แบบ ถ้าไม่สมบูรณ์แบบถือว่าล้มเหลว และเราจะไม่ล้มเหลวถ้าเราไม่ได้เริ่มทำ

แต่การที่ทำอะไรก็ตามแล้วไม่ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ มันไม่ได้ทำให้เราตาย ไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ไม่มีใครตายถ้าเราทำตามเป้าหมายไม่ได้

ความพยายามฝืนไม่ให้ตกเป็นทาสของความอยากสมบูรณ์แบบเป็นสิ่งสำคัญ เป็นปัจจัยที่ทำให้คนที่ชอบเริ่มต้นโน่นนี่ ให้กลายเป็นคนที่ทำสำเร็จ

เราจะเห็นความไม่สมบูรณ์แบบเกิดขึ้นได้เร็วๆ ไม่ต้องรอให้ถึงเดือนหรอก เอาแค่วันที่ 2 ก็เริ่มรู้แล้วว่าจะทำไม่ได้ และมันจะทำให้เราหยุดไปต่อ

วันที่ 2 สำหรับหลายคน มันคือวันที่ความไม่สมบูรณ์แบบมาถึง คือวันที่ทำให้บางคนหยุดวิ่ง หยุดตื่นเช้า หยุดคุมอาหารแล้วกลับมากินของหวานเหมือนเดิม

เราจะไม่มีทางทำได้สมบูรณ์แบบ และสิ่งที่สำคัญมากกว่าความสมบูรณ์แบบ มันคือการก้าวไปข้างหน้า ไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ วันนี้ทำไม่ได้ ก็ลองทำอีกทีพรุ่งนี้ หรืออาทิตย์หน้า

แต่ความสมบูรณ์แบบก็ตายยาก เพราะบางคนอาจมองว่าสิ่งที่ตรงข้ามกับความสมบูรณ์แบบคือความล้มเหลว แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ สิ่งที่ตรงข้ามความสมบูรณ์แบบมันคือการทำได้สำเร็จ

ลดเป้าหมายลงครึ่งหนึ่ง

ทำไมต้องวิ่ง 5 กิโล ในเมื่อเราลงวิ่งมาราธอนได้ จะไปเขียนบทความสั้นๆ ทำไม ถ้าเราสามารถเขียนหนังสือเป็นเล่มๆ ได้ จะสนใจเงินหมื่นทำไมในเมื่อเราหาเงินได้เป็นแสน

หลายครั้งที่เราตั้งเป้าหมายไว้โดยที่แม้แต่ Superman หรือ Supergirl เองก็ยังทำไม่ได้ เวลาที่เริ่มต้นงานใหม่ๆ ก็มักจะประเมินเวลาที่ใช้ทำงานนั้นผิด แต่นั่นก็เป็นความผิดพลาดของคนทั่วไป

เรามักจะคิดว่าเราต้องเป้าหมายที่สูง เป้าหมายใหญ่ๆ ถึงทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ในความเป็นจริง หลายครั้งมันทำแบบนั้นไม่ได้ สำหรับคนที่ตั้งเป้าหมายจะลดน้ำหนักลง 10 กิโล แต่ทำจริงลดได้ 8 จะทำให้เกิดความท้อแท้ แต่สำหรับคนที่ตั้งเป้าไว้ที่ 5 กิโล แต่ทำจริงได้ 8 ถือว่าได้กำไร มองเป็นความสำเร็จ

สิ่งที่เหมือนกันคือลดน้ำหนักลงได้ 8 กิโล แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือมุมมองของคนหลังจากนั้น คนที่ตั้งเป้าหมายต่ำกว่าจะมองว่าทำได้สำเร็จ

ความอยากสมบูรณ์แบบ ทำให้เราตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินไป มันพยายามขัดขวางเราไม่ให้เริ่มต้น ทำให้เรารู้สึกว่าอย่าเริ่มเลยดีกว่า อย่าเสียเวลาถ้าทำได้ไม่ดีพอ มันพยายามบอกเราว่า เราแก่เกินไป เราเด็กเกินไป เรายุ่งมากเกินไป เรามีเป้าหมายที่ต้องทำมากเกินไป จนไม่รู้ว่าจะทำอันไหน เราไม่มีเงิน ไม่มีใครช่วยเหลือแนะนำ หรือมีคนที่ทำได้ดีกว่า เราไม่มีทางสู้ได้

Planning fallacy คือการคิดวางแผนผิดพลาด เราคาดหวังว่าเราจะทำงานสำเร็จในเวลาที่คาดไว้ เพราะมองโลกในแง่ดีมากเกินไป และประเมินเวลาที่ต้องใช้น้อยเกินไป

ปัญหาเกิดจากการประเมินสิ่งที่จะทำได้ภายในหนึ่งวันมากเกินไป และถ้าทำไม่ได้ ก็จะทำให้หมดหวัง หมดกำลังใจ ทำให้ล้มเลิกและทำไม่สำเร็จ

ลดเป้าหมายลงครึ่งหนึ่ง อาจดูเป็นการโกง แต่มันช่วยได้จริงๆ คนที่ลดเป้าหมายลง สามารถทำตามเป้าหมายนั้นได้สำเร็จ และมันจะเพิ่มความอยากที่จะทำงานทำตามเป้าหมายมากขึ้นอีก ทำให้กระตือรือร้นที่จะทำต่อไปให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าตอนนี้เราวิ่ง 10 กิโล ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 20 นาที การตั้งเป้าหมายโดยลดเวลาให้เหลือ 1 ชั่วโมง 10 นาที มันจะเป็นไปได้มากกว่าลดเวลาให้เหลือแค่ 60 นาที และมันจะทำให้เราพยายามมากขึ้น เพราะเราสามารถทำได้ตามเป้าหมายเล็กๆ เป้าหมายครึ่งนึงที่วางไว้

เป้าหมายคือสิ่งที่เรามองในระยะยาว ไม่ใช่สิ่งที่จะทำกันในระยะเวลาสั้นๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเรียกมันว่า New Year Resolutions เพราะว่าเรามีเวลาทั้งปีที่จะทำมันให้สำเร็จ

ถ้าหากเราสามารถทำตามเป้าหมายเล็กๆ ได้ในทุกๆ เดือน เราจะก็มีกำลังใจที่จะทำต่อในเดือนต่อไป ค่อยๆ ไปดีกว่าตั้งเป้าหมายไว้สูงแล้วทำไม่ได้แล้วทำให้ล้มเเลิก

และถ้าเราไม่สามารถลดเป้าหมายลงได้ การขยายระยะเวลาออกไป ก็จะทำให้เพิ่มโอกาสที่จะทำได้สำเร็จมากขึ้น

สำหรับคนอยากสมบูรณ์แบบ การลดเป้าหมายลงครึ่งนึง อาจมองว่าไม่มีค่าที่จะทำมัน แต่งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการลดเป้าหมายนั้นช่วยให้ทำงานได้สำเร็จและเพิ่มแรงกระตุ้นให้อยากทำต่อไป

ทำให้สำเร็จและหยุดความอยากสมบูรณ์แบบซะ

เลือกสิ่งที่สำคัญแล้วทิ้งที่เหลือไป

เราไม่สามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งหมด แต่เมื่อไหร่ที่เราเริ่มต้นตั้งเป้าหมาย เราก็มักจะลืมไปว่าเราต้องทิ้งบางอย่างไป เราต้องเลิกทำอย่างอื่นด้วย เราไม่สามารถเพิ่มสิ่งที่จะทำได้เรื่อยๆ

ก่อนที่จะเริ่มต้นเป้าหมายใหม่ ก็ต้องเลือกทิ้งบางอย่างด้วย

ความคิดที่จะทำให้ความสมบูรณ์แบบบอกให้เราเข้าใจว่า มันมีแค่ทางเลือกเดียว นั่นคือทำทุกอย่าง พยายามสุดกำลังแล้วล้มเหลว แต่จริงๆ แล้วเราเลือกได้ว่าจะทิ้งอะไร แล้วไปทำอย่างอื่นที่สำคัญให้สำเร็จ

แรกๆ ยังไม่ชิน มันอาจรู้สึกลำบากใจ ความพยายามที่อยากจะทำหลายๆ อย่าง มันทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า มันทำให้คนอื่นชื่นชม ที่ทำงานหนักจนเหนื่อย ทำงานทั้งวันทั้งคืน

แต่การทำอะไรหลายๆ พร้อมกันทำให้เกิดโอกาสที่เราจะทำพังทั้งหมด

กิจกรรมหลายๆ อย่างในแต่ละวัน ทำให้เกิดผลกระทบแตกต่างกัน บางอย่างทำแล้วช่วยให้เราทำตามเป้าหมายได้ง่ายขึ้น บางอย่างก็ขัดขวางไม่ให้เราทำตามเป้าหมาย การออกไปเที่ยวข้างนอกกับเพื่อนๆ อาจสนุก แต่มันอาจทำให้งานช้าลงไป

เลือกเป้าหมายที่สำคัญที่เราจะสนใจและใส่ใจทำ แล้วทิ้งที่เหลือไป และต้องไม่รู้สึกแย่ที่ต้องทิ้งมันไป เพราะเราต้องสนใจแต่สิ่งที่สำคัญมากกว่า สิ่งที่มันมีความหมายมากกว่า

ยิ่งเรามีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ หลายอย่างที่ต้องทำ ก็ยิ่งทำให้เรามีเวลา มีพลังงาน มีทรัพยากรเพื่อทำสิ่งที่สำคัญน้อยลง เลือกเป้าหมายแล้วทุ่มเททั้งหมดไปที่เดียวจะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะทำได้สำเร็จมากขึ้น ฟังดูเป็นเรื่องง่าย แต่ทำจริงยาก

การลดภาระความรับผิดชอบลง แล้วแบ่งงานให้คนอื่นๆ ช่วยทำ คนเหล่านั้นอาจทำงานได้ดีกว่าเราซะอีก

ทางเดียวที่จะทำตามเป้าหมายได้สำเร็จคือการทุ่มเทเวลา พลังงาน และทรัพยากร การจะทำบางอย่างให้ได้ดี เราอาจต้องเลือกที่จะทำเรื่องอื่นๆ ได้แย่ลง

ลองให้เวลากับตัวเองมากขึ้น ลองพักและอย่าทำหลายอย่างพร้อมกัน เราอาจตกใจที่เห็นว่าสุดท้ายเราได้งานมากขึ้น

ทำให้เป้าหมายเป็นเรื่องสนุก

เรามักจะมองเป้าหมายเป็นเรื่องเครียด ต้องเอาจริงเอาจัง มักจะคิดว่าเป้าหมายมันต้องยาก คนที่ออกไปวิ่งไม่ได้คิดว่าเป้าหมายคือสิ่งที่สนุก คนเหล่านั้นมองว่าเป้าหมายคือการลดน้ำหนักลงและต้องออกไปวิ่ง

พยายามทำให้มันเป็นเรื่องสนุกเข้าไว้ ไม่ว่าทำอะไรก็ขอให้ยิ้มได้

ทำไมเราต้องตั้งเป้าหมายทำสิ่งที่เราไม่อยากทำ ทำไมเราไม่สนุกไปกับมัน ทำไมเป้าหมายมันต้องน่าเบื่อ ทำไมมันต้องเจ็บปวดหรือเหนื่อย

เพราะความอยากสมบูรณ์แบบในตัวเราคอยบอกให้เราทำ มันต้องเจ็บ ยิ่งหนักยิ่งดี อยากลดน้ำหนัก ก็เลยออกไปวิ่ง ทำได้แค่อาทิตย์หรือสองอาทิตย์ ก็จะเป็นกลุ่มคน 92% ที่สุดท้ายจะหยุดทำ เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้สนุกไปกับการวิ่ง วิ่งแล้วเหนื่อย วิ่งแล้วเจ็บ

ความสนุกเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในความอยากที่จะสมบูรณ์แบบ ความสนุกไม่มีคุณค่าใดๆ ในมุมของความอยากสมบูรณ์แบบ มันเป็นเหมือนน้ำกับน้ำมันที่เข้ากันไม่ได้ คนที่อยากสมบูรณ์แบบมองว่าความสนุกเป็นเรื่องเสียเวลา

ถ้ามุมมองที่มีต่อเป้าหมายต้องเป็นเรื่องท้าทาย มันต้องยาก มันต้องไม่สนุก ตื่นแต่เช้าไม่ใช่เรื่องสนุก วิ่งบนลู่ วิ่งในสวนก็ไม่ใช่เรื่องสนุก

แต่ถ้าเปลี่ยนมุมมองใหม่ ถ้าสิ่งที่ทำนั้นมันสนุก เป้าหมายก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป ถ้าอยากทำให้สำเร็จก็ต้องทำให้มันเป็นเรื่องสนุก ความสนุกเป็นทางลัดที่จะทำให้สำเร็จ

Working hard for something we don’t care about is called stress. Working hard for something we love is called passion.—Simon Sinek

บทส่งท้าย

เมื่อไหร่ที่เราตั้งเป้าหมาย เมื่อไหร่ที่สัญญากับตัวเองว่าจะลดน้ำหนักลง จะเริ่มต้นเขียนหนังสือ เริ่มต้นจัดระเบียบห้อง และถ้าเราทำตามนั้นไม่ได้ เราก็เสียความเชื่อมั่นในตัวเอง

ถ้าเราไม่รักษาสัญญาบ่อยๆ เราเองก็จะเริ่มสงสัยในตัวเอง ความเชื่อใจก็จะลดลง จะไม่เชื่อใจตัวเองอีกต่อไป นึกถึงตอนที่เรานัดใครไว้แล้วเราไม่ไปตามนัด คนนั้นก็จะไม่เชื่อใจเรา

เมื่อไหร่ที่เราล้มเลิกบ่อยๆ ในใจลึกๆ เราจะปล่อยวางไม่ได้ เราจะจำได้ว่านี่คือสัญญาที่เราไม่ได้ทำตาม มันจะทำให้เรารู้สึกแย่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างค้างคาใจ

ตรงกันข้ามหากเราทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ ทำสิ่งที่เราใส่ใจ ความรู้สึกดีๆ ก็จะเกิดขึ้น การเริ่มต้นอาจทำให้เรารู้สึกสุขใจ แต่เหนือกว่านั้นคือการได้ทำมันจนสำเร็จ ไม่ต้องสนใจว่าเราใช้เวลาไปเท่าไหร่ สนใจแค่ว่าเราได้ก้าวข้ามเส้นชัยแล้ว

เวลาที่เราตั้งเป้าหมาย เรามักจะมุ่งไปที่การทำให้มันดีขึ้น เราอยากดูดีขึ้น อยากรู้สึกดีขึ้น เราอยากทำให้ดีมากกว่าเดิม เราต่างก็ทำผิดพลาด เราไม่ได้สมบูรณ์แบบ ยิ่งเรายอมรับมันได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะทำให้เราก้าวต่อไปได้ดีขึ้น

The harder you try to be perfect, the less likely you’ll accomplish your goals.—Jon cuff

Like what you read? Please share it with your friends so we can get their thoughts!

Previous ArticleNext Article

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *