
ความคล่องแคล่วทางอารมณ์ช่วยทำให้เราอยู่กับปัจจุบัน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะทำให้เราใช้ชีวิตในแนวทางที่ตรงกับความตั้งใจและคุณค่าของเรา โดยที่ไม่ปฎิเสธอารมณ์ร้ายหรือความคิดแย่ๆ แต่ก็ไม่ยึดติดกับมัน กล้าที่จะรับมือกับมัน จากนั้นค่อยเดินหน้าต่อไป ก้าวข้ามมันไปเพื่อเปิดโอกาสให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับชีวิตเราได้
บันทึกการอ่าน ข้อคิด
- ความคล่องแคล่วทางอารมณ์คือการไม่เสแสร้ง แต่แสดงออกในแบบที่เราเป็น ให้เห็นคุณค่าและความเป็นตัวเรา สิ่งที่มันจริง โดดเด่น และไม่เหมือนใคร
- เราแสดงความเป็นตัวจริงของเราได้โดยการปรับปรุงตัวเองทีละนิดตลอดการเดินทางในชีวิตของเรา
- ควบคุมและกำหนดชีวิตของเราเอง รวมถึง พัฒนาตัวเอง งานที่เราทำ จิตวิญญาณ และความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ
- ยอมรับความเป็นตัวเรา ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ด้วยความเห็นใจ ความกล้า และความอยากรู้อยากเห็น
- ยอมรับประสบการณ์ที่ผ่านมา ถึงมันจะแย่แต่ก็เรียนรู้จากมัน
- พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้า ปรับเปลี่ยนและทิ้งสิ่งที่มันไม่จำเป็นกับเราอีกต่อไป
- การมีชีวิตชีวา บางครั้งก็ต้องมีเจ็บปวดบ้าง เกิดความเครียด หรือทำผิดบ้าง
- ปลดปล่อยตัวเองจากความสมบูรณ์แบบ เพื่อให้เราสนุกกับการใช้ชีวิตได้
- เปิดใจตัวเองให้กับความรักที่ทำให้เราเจ็บปวด และความเจ็บปวดที่มากับความรัก
- เปิดใจตัวเองให้กับความสำเร็จที่มากับความล้มเหลว และความล้มเหลวที่ทำให้เกิดความสำเร็จ
- ความกล้าไม่ใช่ไม่กลัว แต่เป็นการยอมรับและเดินหน้าต่อไปทั้งๆ ที่กลัว
- ทิ้งความสะดวกสบาย เลือกที่จะกล้า ที่มันจะทำให้เราได้รับโอกาสใหม่ๆ ที่ทำให้เราเติบโต
ความคล่องแคล่วทางอารมณ์
ถ้าชีวิตนี้คือการเดินทาง คงจะดีถ้าร่างกายเรามีระบบเซนเซอร์ที่คอยตรวจจับสิ่งที่มันเป็นอันตรายกับชีวิตเรา ที่จะคอยนำทางเราสู่ปลายทางได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย คอยตรวจจับสิ่งที่จะทำให้อาชีพการงานหรือความสัมพันธ์เราพังทลาย
ร่างกายเราไม่มีอุปกรณ์ที่ว่า แต่ก็มีสิ่งที่เรียกว่า อารมณ์ ที่ทำให้เรารับรู้ถึง ความกลัว ความกังวล ความสุข หรือความตื่นเต้น ระบบประสาทที่วิวัฒนาการเพื่อให้เราเดินทางในโลกความจริง ชีวิตที่ซับซ้อน
อารมณ์ ระบบนำทางของร่างกายเรา ช่วยให้เราตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ทันที ทำให้เรารับรู้ถึง การยอมรับ ความกลัว ความรักที่คนอื่นมีต่อเรา ร่างกายเราปรับตัวเพื่อทำให้เข้าใจสารเหล่านี้ ทำให้หัวใจเราเต้นช้าลงหรือเร็วขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายหรือเกร็ง ทำให้ใจเรามุ่งมั่นอยู่กับเป้าหมายหรือลอยไปกับความไว้เนื้อเชื่อใจพรรคพวก ทำให้เราปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ทำให้เรามีชีวิตรอดและโดดเด่น
แต่บางครั้งอารมณ์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอารมณ์เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่มั่นคง ในบางสถานการณ์มันทำให้เรามั่นใจว่าคนนี้แหล่ะที่เสแสร้ง และทำให้เราสะกิดใจกว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่นอน แต่ในบางสถานการณ์อารมณ์ก็ทำให้บดบังความจริง ทำให้มีผลต่อการตัดสินใจ
ในหนังสือ Emotional Agility ผู้เขียนต้องการให้เรารู้ตัวและรู้จักอารมณ์ของเรา เรียนรู้และยอมรับมัน ถึงจะไม่ทำให้เรากลายเป็นคนสมบูรณ์แบบเหนืออารมณ์ แต่มันก็พอที่ช่วยให้เราจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ลำบาก เปิดทางให้เราโดดเด่นและประสบผลสำเร็จในชีวิตได้
ความคล่องแคล่วทางอารมณ์เป็นเรื่องของการผ่อนคลาย สงบใจลง และใช้ชีวิตด้วยด้วยความตั้งใจ เป็นเรื่องของการเลือกที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้า นำพาไปสู่ชีวิตที่มีความหมาย ชีวิตที่เติมเต็มที่สามารถเป็นไปได้ การแยกสิ่งเร้ากับการตอบสนองออกจากกัน มันจะช่วยให้เราหยุดคิดและเลือกที่จะตอบสนอง เพื่อนำไปสู่การเติบโตและทำให้เราเป็นอิสระ
การแยกระหว่างความรู้สึกกับการตอบโต้ความรู้สึก ความคล่องแคล่วทางอารมณ์ช่วยทำให้คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับความคิดในแง่ลบ ความเจ็บปวดทางใจ ความกังวล สถานกาณ์ที่เปลี่ยนแปลงกระทันหัน นอกจากนั้นยังช่วยให้จัดการกับสถานการณ์ที่ลำบากอื่นๆ ด้วย
คนที่มีความคล่องแคล่วทางอารมณ์ มักจะเป็นคนที่รับมือกับความซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงได้ดี มีภูมิต้านความเครียดและความยากลำบาก ทำให้ยังสามารถรับมือ เปิดใจ และยอมรับสถานการณ์ได้ คนเหล่านี้เข้าใจว่าชีวิตมันไม่ได้ง่ายเสมอไป ถึงแม้ว่าจะยังต้องเจอกับความรู้สึกโกรธ เศร้า แต่คนเหล่านี้ก็ยังรับมือกับมันด้วยความอยากรู้อยากเห็น มีความเข้าใจและเห็นใจตัวเอง และยอมรับ
เราต่างก็ใช้ชีวิตตามกฎ เดินไปตามเส้นทางที่ขีดไว้ และติดกับดักของวิถีทางที่มันไม่เป็นประโยชน์กับเรา
ความคล่องแคล่วทางอารมณ์เป็นกระบวนการที่ทำให้เราอยู่กับปัจจุบัน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะทำให้เราใช้ชีวิตในแนวทางที่ตรงกับความตั้งใจและคุณค่าของเรา โดยที่ไม่ปฎิเสธอารมณ์ร้ายหรือความคิดแย่ๆ แต่ก็ไม่ยึดติดกับมัน กล้าที่จะรับมือกับมัน จากนั้นค่อยเดินหน้าต่อไป ก้าวข้ามมันไปเพื่อเปิดโอกาสให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับชีวิตเราได้ การที่จะทำให้เราสามารถมีความคล่องแคล่วทางอารมณ์ได้นั้น จะต้องมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
เผชิญหน้ากับความคิด
ขั้นตอนแรกคือเปิดเผยมันออกมา เผชิญหน้ากับความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมด้วยความตั้งใจ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น และความเห็นใจ ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นเรื่องจริงที่สะท้อนออกมา หรือความคิดที่บิดเบี้ยว ความคิดและอารมณ์เหล่านี้ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันและก้าวข้ามมันไป
ปลดปล่อยตัวเองออกจากความคิด
ขั้นตอนต่อไปคือเดินออกจากความคิด ปล่อยตัวเราออกจากความคิด และมองดูมันอย่างที่มันเป็น มันก็แค่ความคิด ก็เป็นแค่อารมณ์ เราต้องแยกคนคิดออกจากความคิด ปล่อยให้เกิดช่องว่างระหว่างความรู้สึกกับการตอบสนอง จะทำให้เราเห็นหนทางหลายๆ แบบที่เราจะรับมือกับสถานการณ์ได้ ทำให้เราหลุดจากการควบคุมและทำให้เราไม่อยู่ใต้อำนาจของอารมณ์
การเปลี่ยนมุมมอง การดีดตัวและมองออกไป ทำให้เราเรียนรู้ที่จะมองตัวเองเหมือนกระดาน ทำให้เราเห็นความเป็นไปได้ที่มากขึ้น แทนที่จะเป็นแค่หมากในกระดาน ที่ถูกกำหนดทางเดินไว้แล้ว
ตัดสินใจทำตามเป้าหมายในชีวิต
ขั้นตอนต่อไปคือการมุ่งไปยังสิ่งที่เราต้องการ ตามคุณค่าของเรา มุ่งไปตามเป้าหมายที่สำคัญของเรา รวบรวมความคิดความรู้สึกเข้ากับคุณค่าของเรา ทำให้เราตัดสินใจเพื่อทำตามสิ่งที่เราต้องการ คุณค่าของเราจะเป็นเหมือนเข็มทิศที่ช่วยนำทางเราไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง
ก้าวต่อไป ก้าวไปข้างหน้า
ขั้นตอนสุดท้ายคือการก้าวไปข้างหน้า ปรับเปลี่ยนแก้ไขทีละนิด หาจุดสมดุลระหว่างความท้าทายที่มันไม่เกินความสามารถของเรา ที่มันจะทำให้เราตื่นเต้นและไม่ฝืนและไม่เกินกำลังของตัวเราเอง
สิ่งที่สำคัญคือทำให้มันเป็นเรื่องท้าทายและทำให้เราเติบโต
Hook ฮุก
ใจของเราต่างก็พยายามหาความหมาย ทำความเข้าใจข้อมูลที่เซนเซอร์ส่งเข้าไปในสมอง ไม่ว่าจะเป็นภาพหรือเสียง ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวเรา แต่บางครั้งสมองของเราก็สร้างเรื่องราวที่ผิดเพี้ยนขึ้นจากประสบการณ์ชีวิต
Hook ฮุก ไม่ว่าจะเป็นท่อนฮุก เพลงที่มีท่อนฮุกซ้ำๆ มีโอกาสที่จะฮิตมากขึ้น หรือหมัดฮุกที่โดนแล้วจะต้องหาที่เหมาะๆ นอนสบายๆ หรือในหนังที่จะมีพล็อตที่ขับเคลื่อนตัวละครให้ดำเนินเนื้อเรื่องต่อไป ในชีวิตเราเองก็มีฮุกเช่นกัน
สมองเราพยายามเข้าใจประสบการณ์ที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนมันให้เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับชีวิตของเรา เรื่องราวที่สร้างจากสัญญาณที่รับมาจากเซนเซอร์นับล้าน
ตัวอย่างของเรื่องราวของผู้เขียนหนังสือ เช่น เรากำลังตื่นและลุกออกจากเตียง เด็กตัวเล็กๆ ที่กระโดดเข้ามานั้นก็เป็นลูกสาวเราเอง เราเกิดและโตที่โจฮันเนสเบิร์ก แต่ตอนนี้อาศัยอยู่ที่นิวยอร์ก วันนี้ต้องตื่นไปทำงานเพราะเราเป็นนักสังคมสงเคราะห์
บางครั้งมันก็เป็นเรื่องดี เรื่องง่ายๆ แต่บางครั้งมันก็ลึกลับและคาดไม่ถึง
ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะว่าใจเราสร้างเรื่องราวที่ผิดเพี้ยนขึ้นมา เพี้ยนไปจากความเป็นจริง หลายครั้งที่เป็นเรื่องไม่ดี และทำให้เกิดอารมณ์ในแง่ลบขึ้นได้
เช่น สมมติว่าพ่อแม่เราแยกทางกันทันทีที่เราเกิด เราก็จะโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุที่พวกเค้าต้องอย่าร้างกัน ถึงแม้ว่าเราจะเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้เกี่ยวข้องเลย หรือเราอาจจะคิดว่าจะไม่มีใครรักเราเพราะว่าเราเป็นคนขี้อาย เด็กขี้อายที่โตขึ้นในครอบครัวที่เต็มไปด้วยคนกล้าแสดงออก
เรื่องราวที่ผิดเพี้ยนที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ผลลัพธ์มันเป็นโทษอย่างมาก ลองนึกดูว่าในที่ทำงานเราอาจจะมีปัญหากับเจ้านาย แทนที่เราจะเผชิญหน้าจัดการกับมันตรงๆ แต่เรากลับไปลงกับคนที่บ้าน โทษภรรยาที่ไม่ยอมเปิดเครื่องล้างจาน เรื่องราวที่ผิดเพี้ยนนอกจากจะทำให้ปัญหากับเจ้านายไม่ถูกแก้ไข มันยังทำให้เกิดปัญหาใหม่กับภรรยาอีก
เรามองชีวิตเราแตกต่างจากความเป็นจริง เราสร้างเรื่องราวที่ผิดเพี้ยนจากความจริง ที่มันทำให้เราไม่มีความสุข
ฮุก มันคือสถานการณ์ที่เราต้องเจอในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหากับเจ้านายหรือญาติ การนำเสนองานที่กำลังจะมาถึง คุยเรื่องเงินทอง เกรดที่ตกต่ำของลูก หรือแค่รถติดในช่วงเวลาเร่งด่วน
แล้วในสถานการณ์เหล่านั้น เราก็จะตอบสนองแบบอัตโนมัติ เราอาจจะเผลอพูดคำที่ไม่ควรออกไป เราอาจจะปิดกั้นความรู้สึกเอาไว้ หรือเราอาจจะไม่ยอมทำอะไรเลย เดินหนีไป
ถ้าการตอบสนองของเรามันไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ถึงแม้ว่าความคิดนั้นมันจะไม่จริง ถึงแม้ความรู้สึกนั้นจะไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มมองและยอมรับว่าความคิดความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นความจริง เราก็จะโดนฮุก
ความคล่องแคล่วทางอารมณ์จะช่วยให้เราถอยออกมาจากอารมณ์และคิดหาสิ่งที่เราต้องเปลี่ยน ให้เราหลุดพ้นจากความฉิบหาย วายวอด
พยายามหลุดจากฮุก
เราต่างก็ต้องเจอสถานการณ์ที่ทำให้อารมณ์ไม่ดี มันยากที่จะเลี่ยง ดังนั้นเราจึงควรเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่กับอารมณ์แง่ลบ ยอมรับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เราต้องเจอ
แต่บางคนโดยเฉพาะผู้ชาย มักจะเลี่ยงและไม่สนใจอารมณ์ความรู้สึกในแง่ลบ เชื่อว่าความเศร้าหรือความเครียด ถึงเวลาเดี๋ยวมันก็หายไปเอง
ปัญหาที่เกิดจากการเลี่ยงอารมณ์แง่ลบคือมันไม่ใช่วิธีจัดการที่ต้นเหตุที่ทำให้เรามีอารมณ์แง่ลบ และถ้าเราต้องเจอสถานการณ์แบบเดิม ก็จะต้องมีอารมณ์แง่ลบแบบเดิมเช่นกัน ทำให้ส่งผลต่องาน ความสัมพันธ์ ถ้าเราพยายามมองโลกในแง่ดี พยายามหลบมันไป พยายามก้าวไปข้างหน้าโดยที่ไม่สนใจอารมณ์แง่ลบ การที่เราไม่ทำอะไรเลยยิ่งทำให้ใจเรามีปัญหายิ่งกว่าเดิม จากงานวิจัยพบว่าการที่เราพยายามลดหรือไม่สนใจอารมณ์แง่ลบ กลับทำให้อารมณ์แง่ลบนั้นสร้างปัญหาให้เรายิ่งกว่าเดิม ต้องคิดหนักยิ่งกว่าเดิม
การหลบเลี่ยงอารมณ์แง่ลบไม่ได้ทำให้เราเป็นฝ่ายควบคุมอารมณ์ได้ แต่กลายเป็นว่าเราอยู่ภายใต้อำนาจของอารมณ์แง่ลบ ถ้าเราพยายามกดมันไว้ สุดท้ายมันก็ต้องมีหลุดออกมาบ้าง
การหลบเลี่ยงอารมณ์แง่ลบ ดูผิวเผินเหมือนเป็นการคิดบวก บอกกับตัวเองว่าให้ไปต่อ ให้มองหรือก้าวไปข้างหน้า แต่อารมณ์แง่ลบมันไม่ได้หายไปไหน มันยังหลบอยู่ที่ไหนสักแห่ง รอเวลาที่จะหลุดออกมาได้ทุกเมื่อ
ตรงข้ามกับการหลีกเลี่ยง บางคนไม่สามารถปล่อยวางอารมณ์แง่ลบได้ โดยเฉพาะผู้หญิง ที่ยังคิดถึงแต่อดีต นึกถึงสิ่งที่เราทำลงไป ถามหาเหตุผลว่าทำไมเราจึงทำแบบนั้น และนึกถึงสิ่งที่เราน่าจะทำ
แต่การไม่ปล่อยวางอารมณ์แง่ลบก็ยังดีกว่าการหลบเลี่ยง เพราะอย่างน้อยก็ยังเป็นการพยายามแก้ไขปัญหา อย่างน้อยก็รู้สึกถึงความรู้สึกของตัวเอง รู้ตัวและยอมรับว่าตัวเองรู้สึกยังไง
แต่การที่ยังนึกถึงความทุกข์ พยายามที่จะจัดการกับสถานการณ์ พยายามคิดแล้วคิดอีกมากขึ้นกว่าเดิม สุดท้ายเราก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ทำให้เราทุกข์ นอกจากนั้นยังมักจะทำให้เราโทษตัวเอง ว่าทำไมเราต้องทำแบบนั้น ทำไมเราถึงไม่ทำแบบนี้ สุดท้ายก็ทำให้เปลืองพลังงาน ทำให้เหนื่อยใจ และไม่เกิดประโยชน์อะไร
การที่เรากังวลว่าเรากังวลมากไป การที่เราเครียดเรื่องที่เราเครียดมากไป หรือการที่เราโกรธตัวเองที่เราเป็นคนโกรธง่ายไป มันยิ่งจะทำให้เราถูกดูดลึกลงไปในทราย ถูกฮุกและติดอยู่กับอารมณ์แง่ลบมากขึ้น
ไม่ว่าเราจะหลบเลี่ยงหรือไม่ยอมปล่อยวางอารมณ์แง่ลบ ทั้งสองวิธีนี้ต่างก็เป็นผลเสียต่อสุขภาพเรา มันเป็นเพียงแค่ยารักษาอาการชั่วคราว แต่ไม่ใช่วิธีที่จะแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ
เผชิญหน้ากับอารมณ์
แทนที่จะหลบเลี่ยงหรือพยายามกลับไปแก้ไข เราต้องเผชิญหน้ากับอารมณ์แง่ลบนั้นตรงๆ ยอมรับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเรา ถึงมันจะผิดพลาดแต่ก็ไม่ต้องเสียใจ ทำใจและหาทางอยู่ด้วยกันด้วยความจริงใจ พยายามเข้าใจและเห็นใจตัวเอง เปิดใจยอมรับและเผชิญหน้ากับอารมณ์ร้าย แยกแยะมันให้ได้ว่าคืออะไร ร้ายแค่ไหน ตั้งชื่อให้มันซะเลย
เข้าใจและเห็นใจตัวเอง ไม่ว่าเราจะเป็นคนธรรมดาหรือไม่ธรรมดา เราก็มีสิทธิ์ทำพลาด ยกโทษให้ตัวเองที่ดันทำผิด ที่ไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ เพื่อที่เราจะได้ทำตัวใหม่และเป็นคนที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
งานวิจัยเกี่ยวกับการหย่าร้างพบว่า คนที่แสดงออกถึงความเข้าใจและเห็นใจตัวเองที่ต้องเจอกับประสบการณ์ที่แย่ๆ จะสามารถผ่านพ้นช่วงเวลานั้นได้ดีกว่าคนที่โทษตัวเอง
การเผชิญหน้ากับอารมณ์เราจะต้องรู้ทันความคิด โดยที่ไม่ต้องสนใจว่าความคิดนั้นมันจะจริงหรือไม่ก็ตาม ความคิดมันก็เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวเรา สิ่งที่เราคิดย้ำไปมา ถ้าเราสามารถยอมรับมันได้ เราก็มีโอกาสที่จะหลุดออกจากฮุกหรือกับดักความคิดได้
ความจริงก็คือ เราไม่สามารถควบคุมสิ่งที่อยู่ภายนอก โลกนี้มันไม่มีทางที่จะสมบูรณ์แบบ การฝึกเพื่อยอมรับจะทำให้เราก้าวไปข้างหน้าได้
ขอให้เรายอมรับ เพราะการยอมรับเป็นสิ่งที่จำเป็นในการที่เราจะเปลี่ยนแปลง ปล่อยให้โลกมันเป็นไปในแบบของมัน อย่าไปพยายามควบคุมมันแต่ให้อยู่ร่วมกันให้ได้ ถึงแม้จะมีสิ่งที่เราไม่ชอบก็ปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้นแหล่ะ อย่าไปทำอะไรกับมัน เอาพลังงานของเราไปคิดไปทำสิ่งที่มันสร้างสรรค์จะดีกว่า
ความรู้สึกผิดกับความอายแตกต่างกัน ความรู้สึกผิดเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อเรารู้ตัวว่าทำผิด เพื่อให้เราไม่ทำผิดซ้ำและไม่ทำให้เราหลงผิด แต่ความอายเกิดจากการที่เรามองว่าเราเป็นคนผิด มองว่าเราเป็นคนไม่ดี คนไร้ค่า ความอายไม่ทำให้เราลงมือแก้ไขสิ่งผิดพลาด แต่กลับทำให้เราปกป้องตัวเอง หลบหนีความรับผิดชอบ หรือปัดความผิดไปให้คนอื่น
ความรู้สึกผิดกับความอายจึงต่างกัน เมื่อเราทำผิด เราก็จะรู้สึกไม่ดีกับมัน และเราก็สมควรจะรู้สึกผิดแน่นอน แต่ยังไงก็ตาม การที่เราทำผิดมันก็ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนที่เลว เรายังสามารถขอโทษ แก้ไขและใช้หนี้สังคมเพื่อชดเชยความผิดได้ เรายังสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ และต่อไปก็ทำให้ดีขึ้น ความเข้าใจและเห็นใจตัวเองจะช่วยให้เราไม่อายเวลาที่เราทำผิด
การที่เราเข้าใจและเห็นใจตัวเองจึงช่วยกระตุ้นและทำให้เราสามารถเรียนรู้และปรับปรุงตัวเองได้
ถอยออกมา
ช่องว่างระหว่างคนคิดกับความคิด คนรู้สึกกับความรู้สึก ช่องว่างนั้นทำให้เราสามารถเปลี่ยนมุมมองและหลุดออกจากฮุกหรือกับดักความคิด และก้าวไปข้างหน้าได้
ไม่มีใครชอบหรอกเวลาที่ตกงาน โดนทิ้ง หรือเจ็บป่วย แต่ถ้าเราสามารถถอยออกมา มองในมุมกว้างขึ้น เราก็จะเห็นหนทาง เห็นโอกาสที่เราจะทำสิ่งที่มันตรงกับคุณค่าของเรา
การแยกตัวเราออกมาจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้มองในมุมที่กว้างกว่าเดิมนั้น ช่วยทำให้เรามองเห็นปัญหาและแก้ปัญหานั้นได้ ช่วยทำให้เรามองเห็นความโกรธ ความหน้ามืดตามัวที่เราเผลอไปลงที่คนอื่น ถ้าเราแยกความรู้สึกออกจากการตอบสนองได้ แทนที่เราจะตอบสนองแบบไม่ยั้งคิด เราก็จะมีสติ หยุดและมองหาทางเลือก ทำให้เราสามารถเลือกการตอบสนองของเราได้
การมีสติไม่ใช่แค่การรู้เห็นสิ่งที่มันเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่รู้ว่าเรารู้สึกยังไงกับมัน แต่เราจะต้องสงบใจลง เปิดใจ อยากรู้ และไม่ต้องตัดสิน
ความคล่องแคล่วทางอารมณ์คือการเปิดใจยอมรับอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น และเลือกที่จะตอบสนอง บางอย่างที่มันไร้สาระไม่สมเหตุสมผลเราก็ควรปล่อยมันไป ให้เราหลุดออกจากฮุกหรือกับดักทางความคิด เพื่อที่มันจะช่วยให้เราดำเนินชีวิตในแบบที่เราอยากเป็นได้
สำรวจและทบทวนคุณค่าของตัวเอง
เรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำอยู่ไหม ทุกอย่างมันปกติดีหรือเปล่า เราต่างก็อยากใช้ชีวิตในแบบของเรา ที่มันตรงกับความต้องการและคุณค่าของเรา ชีวิตที่มันมีความหมาย
เราอยากจะตัดสินใจตามความเชื่อส่วนตัว ความเชื่อที่เราใส่ใจ เราไม่อยากตัดสินใจเพียงเพราะทำให้คนอื่นพอใจ หรือเพราะควรทำ หรือถูกใครบังคับ
แต่บางครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำหรือตัดสินใจตามที่เราต้องการจริงๆ เพราะเราถูกล้อมกรอบด้วยสังคม วัฒนธรรม ครอบครัว ศาสนา เพื่อน สิ่งสำคัญที่มันทำให้เรามีคุณค่า
เราไม่รู้ตัวว่าเราปล่อยให้การกระทำและการตัดสินใจของคนอื่นมีผลกับเรามากเกินไป พฤติกรรมที่ทำตามๆ กันในสังคม มันติดต่อกันได้
ถ้าเราไม่มีสติ เราไม่ปล่อยให้มีช่องว่างระหว่างอารมณ์และการตอบสนอง ช่องว่างระหว่างความคิดกับคนคิด ถ้าเราปล่อยให้ใจเราทำงานแบบอัตโนมัติ เราก็มักจะทำตามพฤติกรรมที่ติดต่อกันไป สุดท้ายเราก็จะมีความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองใช้ชีวิตของคนอื่น
แล้วเราก็จะถามตัวเองว่า เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง
การจะตัดสินใจโดยยึดตามหลักความเชื่อของเราเอง ก่อนอื่นเราต้องสำรวจหลักการนั้น ทบทวนคุณค่าของตัวเราเอง อะไรคือสิ่งที่เราต้องการ
คุณค่าของเราอาจจะไม่มีค่าในสายตาของคนอื่นๆ แต่การยึดถือคุณค่าของเรามันเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น การงาน ความสัมพันธ์ ความคิดสร้างสรรค์ ความน่าเชื่อถือ ความใจดี คุณค่าของตัวเรามันจะช่วยให้เราเป็นเรา ช่วยให้การตัดสินใจในเวลาที่ลำบากเป็นเรื่องง่าย เราเป็นแบบนี้เราก็ต้องทำแบบนี้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ว่าชีวิตเราจะเดินไปทางไหน คุณค่าของตัวเรามันก็จะช่วยนำทางเราไป
ลองคิดดีๆ ว่าอะไรที่มันสำคัญกับเรามากที่สุด เราอยากสร้างความสัมพันธ์กับใคร เราอยากให้ชีวิตเราเป็นยังไง ทุกอย่างมันยังปกติดีอยู่ไหม มีเหตุการณ์อะไรที่มันส่งผลกระทบกับชีวิตเรามาก
ถ้าเรารู้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เราใส่ใจมากที่สุด เราก็จะเป็นอิสระจากสิ่งที่เราไม่ได้ใส่ใจ เราสามารถทิ้งมันไปได้ เราก็จะเริ่มใช้ชีวิตโดยไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องกลับเอามาคิด
จากนี้ไปไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจอะไร เราก็สามารถดูจากคุณค่าของตัวเรา ตัดสินใจจากสิ่งที่เราใส่ใจที่สุด ทำให้เราเดินทางไปยังเส้นทางที่มันสอดคล้องกับคุณค่าของเราที่สุด ความเป็นตัวเราก็เกิดจากการตัดสินใจที่แตกต่างจากคนอื่นๆ
ก้าวต่อไป
เส้นทางชีวิตที่เราเดินไป มันก็ต้องมีปรับเปลี่ยนบ้าง เล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำให้มันสอดคล้องกับคุณค่าของตัวเรา สิ่งที่สำคัญกับเรา
การปรับเปลี่ยนสิ่งเล็กๆ ช่วยให้เราเข้าใกล้ความสำเร็จได้ดี ธรรมชาติต้องการวิวัฒนาการ ไม่ใช่การปฎิวัติ เราไม่จำเป็นต้องลาออกจากงานแล้วเข้าวัดเพื่อหาความหมายของชีวิต แต่เราทำในสิ่งที่เราพอทำได้ ด้วยสิ่งที่เรามี ด้วยความเป็นตัวเราในตอนนี้ มันอาจจะไม่มาก แต่ถ้ารวมๆ กันมันก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดเป็นเรื่องราวใหม่ๆ ได้
เราคงจะรู้จักทัศนคติกันดีแล้ว Growth Mindset vs Fixed Mindset วิธีคิดแบบเติบโตและวิธีคิดแบบตายตัว คนเรามีวิธีคิด มีอยู่ 2 ประเภท คือคนที่มีวิธีคิดแบบตายตัว และคนที่มีวิธีคิดแบบเติบโต คนที่มีวิธีคิดแบบตายตัวคือคนที่ไม่เชื่อว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงได้ คนที่มีวิธีคิดแบบเติบโตคือคนที่เชื่อว่าคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เสมอ
นอกจากทัศนคติที่เราต้องเปลี่ยนแล้ว เรายังต้องเปลี่ยนนิสัยด้วย มากกว่า 40% ของกิจกรรมทั้งวันเกิดจากนิสัยของเรา ถ้าเราสร้างนิสัยที่ดี มันก็จะทำให้เรามีชีวิตที่เป็นสุข มีสุขภาพดี และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าใจตัวเองและรู้จักปรับเปลี่ยนนิสัยของเราให้เหมาะสม มันจะเปลี่ยนชีวิตของเราให้ดีขึ้นได้
ใจที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลงและพร้อมสำหรับการเติบโตจะเป็นศูนย์กลาง เป็นที่รวมของคุณค่าและเป้าหมายในชีวิตของเรา รับผิดชอบและเข้าควบคุมชีวิตของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตัวเอง ความสัมพันธ์ การงาน จิตวิญญาณ
การปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความตั้งใจ และนิสัย จะทำให้ชีวิตเราไหลลื่นไปกับโลกที่มันไม่มั่นคงและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มันจะทำให้เราสนุก ตื่นเต้น กับชีวิตมากขึ้น มันจะทำให้เราอยากรู้ว่า เราจะเป็นอะไรได้บ้าง มีอะไรที่เราทำได้ดีอีกบ้าง
ความคล่องแคล่วทางอารมณ์เป็นชีวิตที่ต้องก้าวต่อไป ไปในทางที่มันชัดเจน ท้าทายแต่ก็พอทำได้ ทำตามเป้าหมายที่สำคัญกับเรา
สรุป
ถ้าต้องการใช้ชีวิตที่เติมเต็มและมีความหมาย เราต้องพัฒนาและฝึกเรื่องความคล่องแคล่วทางอารมณ์ ความสามารถที่จะทำให้เรามีช่องว่างระหว่างความคิดกับคนคิด ความรู้สึกกับคนรู้สึก ทำให้เรามีสติ สำรวจและหาทางออกได้
ในหนังสือ Emotional Agility ยังมีเนื้อหาของความคล่องแคล่วทางอารมณ์ในที่ทำงาน ความคล่องแคล่วทางอารมณ์สำหรับพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงเด็กที่เจ้าอารมณ์ ยังมีคำแนะนำที่ดีๆ อีกเยอะ
Reference
Emotional Agility: Get Unstuck, Embrace Change, and Thrive in Work and Life
3 Comments