
เวลาไม่ใช่สิ่งที่มีค่าทึ่สุด แต่เป็นพลังงานในตัวเรา คนทั่วไปสามารถบริหารเวลาได้ดี แต่ก็ยังพบว่าตัวเองเหนื่อยล้า เครียดและไม่มีสมาธิ ขาดความความสนใจและการมีส่วนร่วมกับงาน คนทั่วไปใช้ตารางเวลา นาฬิกา หรือแอพ เพื่อบริการเวลา แต่จะมีกี่คนที่รู้จักบริหารพลังงานในตัวเอง
จากหนังสือ The Power of Full Engagement: Managing Energy, Not Time, Is the Key to High Performance and Personal Renewal ผู้เขียนได้แนะนำให้เราลองเปลี่ยนมาบริหารพลังงานแทนการบริการเวลา
บริหารพลังงาน
การบริหารพลังงานในตัวเราจะเป็นหนทางที่นำเราไปสู่ความสำเร็จและความพึงพอใจได้ การใส่ใจและมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่กับทุกสิ่งที่เราทำ มันจะทำให้เราเด้งตัวลุกออกจากเตียงได้ในตอนเช้า ทำให้เราอารมณ์ดี มีความกระตือรือร้นที่จะไปทำงาน และหลังจากเลิกงาน ก็ทำให้เราตั้งหน้าตั้งตากลับบ้าน เพื่อใช้เวลาในตอนเย็นกับคนในครอบครัว มันจะทำให้เรามีความสุขและมีความคิดสร้างสรรค์ ท้าทายและสนุกกับงาน
บริษัทแต่ละแห่งต่างก็ลงทุนเพื่อทำให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้พนักงานทำงานเต็มเวลาและหวังจะได้งานเยอะที่สุด แต่กลับพบว่า ยิ่งพนักงานทำงานนานมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ลดการมีส่วนร่วมกับงาน ทำให้ใส่ใจน้อยลง พนักงานไม่ตั้งใจทำงาน
การเตรียมพร้อมในการแข่งขัน ทำให้นักกีฬาเรียนรู้ที่จะใช้ความสามารถได้เต็มที่ ฝึกฝนและรู้จักพักเพื่อฟื้นฟูพลังงาน การทำงานก็เหมือนกัน เราสามารถเต็มที่กับงานได้ในช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นเราต้องพักเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูพลังงาน และพร้อมที่จะเต็มที่กับงานได้อีกครั้ง
แหล่งพลังงานในตัวเราจะมี 4 ด้าน ได้แก่ ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และจิตวิญญาณ ทุกด้านมีความสำคัญและจะขาดไปไม่ได้
จังหวะเวลา
การฝึกซ้อมของนักกีฬาจะมีจังหวะเวลา ฝึกให้หนักแล้วก็พักให้เพียงพอ ตอนที่ฝึกร่างกายจะใช้พลังงาน ส่วนตอนพักร่างกายก็จะฟื้นฟูพลังงานให้กลับมา ปัญหาอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ นักกีฬาซ้อมหนักมากเกินไปและพักผ่อนไม่เพียงพอ
ทุกย่างมีจังหวะเวลาของมันสลับกันไป พระอาทิตย์มีขึ้นและลง น้ำก็มีขึ้นและลง แม้แต่การหายใจของเราก็ยังเป็นจังหวะเข้าออก การนอนของเราก็มีจังหวะเวลาเช่นกัน และเราสามารถนำหลักการเดียวกันนี้มาใช้กับการทำงานได้ ในการทำงาน เราสามารถเต็มที่กับงานได้ประมาณ 90 นาที หลังจากนั้นเราต้องพัก เพื่อฟื้นฟูพลังงานให้กลับคืนมา
ร่างกาย
ปริมาณพลังงานในร่างกายของเรา ปัญหาที่เราเจอในการบริหารพลังงานในร่างกาย เกิดจากที่เราทำงานหนักมากเกินไปจนร่างกายเราเหนื่อยล้า เรามักจะพบว่า เราทำงานเยอะเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ งานก็ยังไม่เสร็จสักที
ถ้าเราไม่ดูแลตัวเอง มันก็ยากที่เราจะไปดูแลคนอื่นๆ หรือดูแลงานที่รับผิดชอบได้
พลังงานในร่างกายของเราขึ้นอยู่กับ
- การนอนหลับให้เพียงพอในแต่ละคืน
- การกินอาหารที่มีคุณค่าทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นครบ
- การออกกำลังกายและทำให้ร่างกายฟิตอยู่เสมอ
- การพักผ่อนในระหว่างวัน เพื่อฟื้นฟูพลังงาน
ถ้าเราดูแลร่างกายได้ดี มันก็จะทำให้เราพร้อมที่จะทำงาน แต่ปัญหาคือน้อยคนที่จะมีระบบในการจัดการพลังงานในร่างกาย เช่น หลายคนนอนหลับไม่พอ เรารู้ว่าคนส่วนใหญ่ต้องการการนอนหลับ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน สำหรับบางคนต้องการ 8 ชั่วโมงเต็ม
คนส่วนใหญ่ต้องการอย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้หลับได้เพียงพอต่อความต้องการ ถ้าเรานอนหลับได้เพียงพอทุกคืน ไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดอะไรมันก็แก้ไขได้หมด ด้วยการนอนให้เพียงพอ
มันยากที่จะบอกว่าอาหารอะไรดีที่สุด เพราะแต่ละคนต้องการอาหารที่ต่างกัน ในปริมาณที่ต่างกัน อาหารที่ดีที่สุดสำหรับคนหนึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้ในอีกคนได้ ดังนั้นแต่ละคนจึงต้องตรวจสอบดูว่าสิ่งที่เรากินเข้าไปมันมีผลต่อร่างกายยังไงบ้าง เราแพ้อาหารบางอย่างหรือเปล่า ถึงนมวัวมันจะดีมีประโยชน์แค่ไหน แต่ถ้าเราแพ้นมวัว ถ้ามันทำให้ท้องเราทำงานผิดปกติ เราก็ไม่ควรฝืนกินมันเข้าไป
แต่เราบอกได้ว่าอะไรที่ไม่ควรกิน น้ำตาล ซึ่งมันทำให้พลังงานในร่างกายเราปั่นป่วน
ความฟิตของร่างกายคือความสามารถในการฟื้นฟู ในเวลาที่เราบาดเจ็บหรือเวลาที่เราออกกำลังกายหนัก ถ้าร่างกายเราฟิต เราก็จะฟื้นฟูได้เร็วขึ้น หายเหนื่อยได้เร็วขึ้น ดังนั้นการฝึกฝนเพื่อให้ร่างกายฟิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ออกกำลังกายหนักๆ จากนั้นก็พัก ทำสลับกันไป จะช่วยทำให้ร่างกายฟิตมากขึ้น การออกกำลังกายเพื่อให้หัวใจเต้นแรงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องออกกำลังกายหนักๆ เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ เพื่อทำให้เราฟิตอยู่เสมอ มันจะช่วยให้เราฟื้นฟูพลังงานได้เร็วขึ้น
การพักระหว่างวันเป็นสิ่งที่จำเป็น เราไม่ควรทำงานต่อเนื่องนานมากกว่า 90 นาที เพราะพลังงานของเราลดลงเรื่อยๆ และไม่พอที่จะทำให้เราเต็มที่กับงานได้ ดังนั้นเราจึงต้องพักเพื่อฟื้นฟูพลังงาน การพักที่ดีไม่ได้ขึ้นกับระยะเวลาที่เราพัก แต่เป็นคุณภาพของการพัก การพักที่ดีควรจะช่วยให้เราผ่อนคลาย พักก็คือต้องพักจริงๆ ไม่ใช่เอางานมาคิดระหว่างพัก ทำงานก็เช่นกัน เราไม่ควรเอาเรื่องสนุกผ่อนคลายมาทำในช่วงเวลางาน
อารมณ์
คุณภาพของพลังงาน อารมณ์ความรู้สึกมีผลต่องานที่เราทำ ถ้าเราไปถามนักกีฬาที่พร้อมแข่งขันว่าตอนนี้รู้สึกยังไง ก็คงจะได้คำตอบว่า มั่นใจ ตื่นเต้น มีความสุข จิตใจสงบ มุ่งมั่น
อารมณ์ที่เราต้องการมากที่สุดที่ทำให้เราทำงานได้ดีคือ พลังงานสูงเชิงบวก แต่ในระหว่างวันที่เราทำงาน เราจะไม่ได้มีแต่พลังงานสูงเชิงบวก
ในสถานการณ์ที่เราตกอยู่ในอันตราย หรือโดนกดดัน มีความเสี่ยง หรือเกิดความขัดแย้ง มันจะทำให้เราจะอยู่ในโหมดเอาตัวรอด อารมณ์ของเราในตอนนั้นจะเปลี่ยนไปเป็น พลังงานสูงเชิงลบ ซึ่งเป็นโหมดที่ทำให้เราใช้พลังงานได้เปลืองที่สุด พลังงานเราจะลงลงเร็วมาก
และถ้าเราปล่อยให้พลังงานเราหมดในขณะที่เรายังอยู่ในสถานการณ์เดิม มันจะทำให้เราเปลี่ยนไปอยู่ในโหมดของ พลังงานต่ำเชิงลบ ซึ่งเป็นโหมดที่เราเหนื่อยล้า นอกจากนั้นเรายังอยู่ในอารมณ์แง่ลบด้วย จัดเป็นโหมดที่น่ากลัวที่สุด เพราะมันจะทำให้เรารู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง เศร้าโศกเสียใจ
ดังนั้นเราจึงต้องพยายามรักษาอารมณ์บวกไว้ เราทำงานเต็มที่ในช่วงที่เรามีพลังงานสูงเชิงบวก หลังจาก 90 นาทีเราก็เปลี่ยนไปอยู่ในโหมด พลังงานต่ำเชิงบวก เพื่อฟื้นฟูพลังงานให้กลับมา และก็ยังคงรักษาอารณ์เชิงบวก มันจะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงไม่ให้เราเข้าไปอยู่ในโหมดพลังงานสูงเชิงลบและพลังงานต่ำเชิงลบได้ เพราะเราไม่ผลาญพลังงานโดยไม่จำเป็นถึงแม้จะมีปัญหา
เราต้องฝึกให้เป็นนิสัย ให้จิตใต้สำนึกสั่งให้เราได้พักเพื่อฟื้นฟูพลังงานกลับมา เราต้องดูแลตัวเองโดยการไม่ฝืนไม่ผลีผลามที่จะแก้ปัญหา หลายคนเริ่มงานมีอารมณ์ดี แต่ในระหว่างวันอารมณ์จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามสถานการณ์ที่เราต้องเจอ บางทีเราอาจจะไม่รู้ตัว
จิตใจ
การฝึกฝนเพื่อให้เรามุ่งมั่น มีสมาธิกับงาน สิ่งที่เราทำได้คือกำหนดช่วงเวลาที่จะทำงาน กำหนดเวลาเริ่มและสิ้นสุดของแต่ละงาน ถ้าเราไม่กำหนด เราก็มักจะใช้เวลาไปกับงานนั้นได้ไม่รู้จบ เราจะหลงคิดว่าเรามีเวลาเยอะ และเปิดโอกาสให้เราไปทำงานอื่นๆ ที่ด่วนกว่าแต่ไม่ได้สำคัญ หรือทำให้เราใช้เวลาเล่นแทนที่จะทำงานให้เสร็จ
การมีสมาธิในที่ทำงานเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เพื่อทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน รู้ว่าเรากำลังทำอะไร
เราควรจะทำสิ่งที่สำคัญที่สุดให้เสร็จในตอนเช้า ให้เสร็จภายใน 90 นาทีแรก เพราะเราสามารถมีสมาธิกับงานได้แค่นั้น จากนั้นจึงพัก
อารมณ์กลัว สับสน โกรธหรือเสียใจ ที่เกิดขึ้นในระหว่างวันทำให้ร่างกายเราหลั่งฮอร์โมนความเครียด Cortisol ความเครียดทำให้เกิดปัญหาสำหรับบางคน โดยเฉพาะคนที่มองโลกในแง่ร้าย
จิตวิญญาณ
พลังจิตวิญญาณเกิดขึ้นจากการที่เราค้นพบความหมายของสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราทำมันมีความสำคัญ ถ้าเราได้ทำงานที่เรารัก เราจะทุ่มเทให้กับงานนั้นและมันก็จะยิ่งเพิ่มพลังจิตวิญญาณให้เรา
อะไรคือสิ่งที่มีความหมายต่อชีวิต หลายคนมองว่ามันคือ สิ่งที่ดี ความจริง และความงาม
สิ่งที่ดีคือสิ่งที่มีคุณค่ากับผู้คน มีคุณค่าต่อโลกนี้ บางสิ่งที่มันยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง สิ่งที่เราได้รับตอนที่เราทำเพื่อคนอื่น ตอนที่เรารับใช้คนอื่น
ความจริงหรือความรู้ความเข้าใจในระดับพื้นฐาน และการที่เราสอนคนอื่นให้รู้ก็จะทำให้เกิดเป็นสิ่งที่ดีขึ้นมาด้วย
ความงามคือการที่เราชื่นชมบางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติหรือศิลปะ หลายคนได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ รับรู้ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ความดี ความจริง และความงาม จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดคุณค่าและความหมาย
สรุป
สิ่งมีค่าที่สุดไม่ใช่เวลา แต่เป็นพลังงานในตัวเรา การจัดการพลังงานช่วยให้เราทุ่มเทกับงานได้เต็มที่ พลังงานในตัวเรามี 4 ส่วนคือ ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และจิตวิญญาณ
หลายคนทำงานหนักมากเกินไปจนชิน จนทำให้เราคิดไปเองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เราควรฟื้นฟูพลังงานโดยการฝึกพักให้เป็นนิสัย การสร้างนิสัยที่ดีทำให้ฟื้นฟูพลังงานได้ แต่นิสัยแย่ๆ มันจะลดพลังงานเรา
พลังงานด้านอารมณ์จะฟื้นฟูได้โดยการสร้างความมั่นใจ การมีวินัย การเข้าสังคม การเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น การฝึกจิตใจสามารถทำได้เช่นเดียวกันกับการออกกำลังกาย ฝึกฝนแล้วก็พัก
แหล่งพลังงานทั้ง 4 ด้าน เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเต็มที่กับงานได้ เริ่มต้นจากการที่เรารู้สึกข้างในเราเอง เรารู้สึกยังไง จากนั้นก็ลงมือทำ ทำให้เกิดเป็นนิสัย และฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ จนมันติดตัวเราและสามารถทำได้โดยไม่ต้องคิด
2 Comments