ดูแลตัวเอง

ถ้าเราเชื่อว่าความเครียดเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อร่างกาย มันก็จะเป็นผลร้ายต่อเรา

Kelly McGonigal คนเขียนหนังสือ The Upside of Stress  พูดถึงมุมมองที่เรามีต่อความเครียดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดผลร้ายต่อร่างกายเรา

ความเครียด

เวลาที่เราเครียด อัตราการเต้นของหัวใจจะถี่และแรงขึ้น ทำให้เราหายใจเร็วขึ้น เหงื่อออก หลายคนไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์กับตัวเรา

ถ้าเรามองความเครียดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี หลอดเลือดในร่างกายเราก็จะเครียดและถูกบีบให้แคบลง และในระยะยาวก็จะกลายเป็นโรคหัวใจ แต่ถ้าเรามองว่าความเครียดคือการที่ร่างกายเราเตรียมพร้อม ให้เรารับมือกับความท้าทาย หลอดเลือดก็จะผ่อนคลายลง

ความเชื่อที่ว่าความเครียดไม่ดีต่อร่างกาย กลายเป็นผลร้ายต่อร่างกายของเรา

เวลาที่เราเครียด สมองเราจะหลั่งสาร Oxytocin ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยลดผลร้ายของความเครียดได้ มันจะทำให้เราเข้าหาคนอื่นและขอความช่วยเหลือ ดังนั้นคนที่รู้สึกห่วงใยคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวหรือคนในสังคม ก็มักจะเป็นคนที่ต้านทานผลร้ายของความเครียดได้ดี

งานวิจัยพบว่า มุมมองที่เรามีต่อความเครียดเป็นตัวกำหนดว่าร่างกายของเราจะตอบสนองต่อความเครียดยังไง จากการติดตามอาสาสมัครผู้เข้าร่วมทดลองเป็นเวลา 8 ปี นักวิจัยพบว่า คนที่เครียดมากๆ จะมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตถึง 43% แต่จะเกิดขึ้นเฉพาะคนที่มองว่าความเครียดเป็นผลร้ายต่อร่างกายเท่านั้น ในขณะที่คนที่เครียดมากๆ แต่ไม่คิดว่าความเครียดมันมีผลร้ายต่อร่างกาย คนกลุ่มนี้กลับมีความเสี่ยงน้อยที่จะเสียชีวิต น้อยพอๆ กับคนที่ไม่ค่อยเครียด

ความเชื่อที่ว่าความเครียดเป็นผลร้ายต่อร่างกายเรา เป็นสาเหตุที่ทำให้คนอเมริกันเสียชีวิต ติด 15 อันดับแรกของสาเหตุการเสียชีวิต มากกว่าคนที่เป็นมะเร็งผิวหนัง มากว่าคนที่ติดเชื้อเอดส์ หรือฆาตกรรม

ถ้าเราเชื่อว่าความเครียดมันเป็นสิ่งที่ดี ร่างกายเราก็จะกระตุ้นให้เราเข้าหาผู้คน ให้เราขอความช่วยเหลือ ทำให้เราต้านทานผลร้ายของความเครียดได้

ความเครียดและความท้าทาย

เราสามารถเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อความเครียดและทำให้ร่างกายตอบสนองตามที่เราคิดได้ เวลาที่เราต้องเจอความกดดัน ร่างกายเราจะตอบสนองอัตโนมัติ ทำให้หัวใจเต้นถี่และแรงขึ้น หายใจเร็วขึ้น เหงื่อออก บางคนมองว่าอาการเหล่านี้คือความกลัวและกังวล หรือเป็นอาการของคนที่ไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์กดดันได้

เมื่อหลอดเลือดในร่างกายเราเกิดความเครียดและถูกบีบให้แคบลง ในระยะยาวมันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ แต่ถ้าเราสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่กดดันได้ ถ้าเราคิดบวกและมองโลกในแง่ดี ถ้าเราคิดว่าเราสามารถรับมือกับมันได้ ถ้าเราเชื่อว่าหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นมันจะทำให้มีเลือดไปเลี้ยงร่างกายมากขึ้น ทำให้เรามีพลังมากพอที่จะรับมือกับสถานการณ์นั้นได้ และการที่เราหายใจเร็วขึ้นก็จะทำให้หัวใจและสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้น ถ้าเรารับเอาความเครียดไว้เป็นเพื่อน หลอดเลือดในร่างกายเราก็จะผ่อนคลาย และจะมีสภาพเช่นเดียวกับตอนที่เรามีความสุขและมีความกล้า ซึ่งมันจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคหัวใจวาย

งานที่มีความหมาย

การค้นหาความหมายของสิ่งที่เราทำก็เป็นผลดีต่อสุขภาพของเรา ถ้างานนั้นมันมีความหมายกับเราและเราเชื่อว่าเราจะรับมือกับความกดดันและทำงานนั้นได้สำเร็จ ความกดดันและความเครียดก็จะไม่ทำลายสุขภาพของเรา

ความเครียดทำให้เราเข้าสังคม เวลาที่เราเครียด ร่างกายจะหลั่งสาร Oxytocin สารสื่อประสาทที่ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น และทำให้เราจำเป็นต้องเข้าหาคนอื่นๆ ในเวลาที่เราโดนกดดัน Oxytocin จะทำให้เราขอความช่วยเหลือ มันจะช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น นอกจากนั้น เวลาที่คนรอบตัวเราเครียด มันก็จะให้เราเข้าหาคนๆ นั้นเพื่อช่วยเหลือเค้า

นอกจากนั้นสาร Oxytocin ยังช่วยทำให้หลอดเลือดผ่อนคลายและป้องกันผลร้ายที่เกิดจากความเครียดได้ โดยการรักษาแผลและทำให้เซลล์หัวใจแข็งแรงขึ้น

อีกงานวิจัยที่ศึกษาคนอเมริกันประมาณ 1000 คน นักวิจัยพบว่า ความเครียดทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากถึง 30% แต่ถ้าคนที่เครียดที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นดูแลคนในครอบครัวหรือคนในสังคม ความเสี่ยงที่คนเหล่านั้นจะเสียชีวิตจากความเครียดจะลดน้อยลง ความห่วงใยจะทำเรามีภูมิต้านทาน การเปิดใจให้คนอื่นจะช่วยให้เราเอาชนะผลร้ายของความครียดได้

สรุป

ความเครียดทำให้หัวใจเต้นถี่และแรงขึ้น ทำให้เราหายใจเร็วขึ้น เหงื่อออก คนทั่วไปมักจะมองว่าความเครียดคือศัตรู ทำให้เราต้องหลีกเลี่ยง แต่งานวิจัยได้ทำให้เราเห็นว่า ความเครียดมันจะส่งผลร้ายกับเราได้เฉพาะกรณีที่เราเชื่ออย่างนั้น ดังนั้นเราควรเปลี่ยนมุมมองต่อความเครียดใหม่ มองว่าความเครียดมันเป็นเรื่องดี เราต้องเชื่อว่าร่างกายเราถูกสร้างและวิวัฒนาการเพื่อให้รองรับสถานการณ์ที่กดดัน ทำให้เราเข้าสังคม เข้าหาคนอื่นเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

Reference

How to Make Stress Your Friend

Like what you read? Please share it with your friends so we can get their thoughts!

Previous ArticleNext Article